ศาลสั่งจำคุก 2 ครูฝึก 15 และ 20 ปี รวมถึงกลุ่มรุ่นพี่ หลังซ่อมวินัย “พลทหารวรปรัชญ์” จนเสียชีวิต ครอบครัวเตรียมยื่นฟ้องคดีแพ่ง เรียกค่าเสียหาย กองทัพบก กระทรวงกลาโหม
จากกรณี นายวรปรัชญ์ พัดมาสกุล อายุ 18 ปี ทหารเกณฑ์ ถูกครูฝึกค่ายนวมินทร์ ชลบุรี ทำโทษซ่อมวินัยบาดเจ็บบอบช้ำหนักจนเสียชีวิต หมอเอกซเรย์พบซี่โครงหัก สะบักหัวไหล่ขวาหัก มีเลือดไหลในปอด และสมองขาดอากาศนานเกิน 4 นาที อีกทั้งไปเอกซเรย์เอ็มอาร์ไอ ปรากฏพบกระดูกสันหลังหัก ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น (อ่านต่อ: แม่ตามติดคดี 13 ครูฝึกค่ายนวมินทร์ฯร่วมฆ่าลูกชาย ซ่อมจนกระดูกสันหลังหัก)
ความคืบหน้าล่าสุด นางสาวนิชนันท์ วังคะฮาต อดีตผู้สมัคร สส. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Nitchanan Wangkahat น้ำ นิชนันท์” ระบุว่า คดีพลทหารวรปรัชญ์ พัดมาสกุล ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก ครูฝึกคนที่ 1 ที่ทำร้ายร่างกายอยู่กับผู้ตายคนสุดท้าย 20 ปี ครูฝึกคนที่ 2 จำคุก 15 ปี พลทหารรุ่นพี่ 11 คน ที่เป็นผู้ช่วยครูฝึก จำคุกคนละ10 ปี ถือเป็นคดีแรกหลังจากกฎหมาย พ.ร.บ.อุ้มหาย บังคับใช้
“ขอบคุณผู้พิพากษาและกระทรวงยุติธรรม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหาย ผู้เสียหาย หรือผู้ถูกกระทำสามารถยื่นขอรับเงินเยียวยาจำนวนเงิน 500,000 บาทจาก กระทรวงยุติธรรม ผู้ปกครองจะยื่นฟ้องคดีแพ่ง กับกองทัพบก กระทรวงกลาโหม เรียกค่าเสียหายต่อไป เป็นอีกหนึ่งกรณีการเสียชีวิตของทหารเกณฑ์ในค่ายทหารที่เกิดขึ้นในสังคมไทย”
ขณะที่ ทนายเกิดผล แก้วเกิด ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า จากกรณีที่ พลทหารวรปรัชญ์ พัดมาสกุล หรือ น้องเน อายุ 18 ปี สมัครใจเข้ารับการเป็นทหารเกณฑ์ ถูกครูฝึก “ซ่อมวินัย” เสียชีวิต หลังเกณฑ์ทหารไม่ถึง 3 เดือน แพทย์ระบุสมองบวม ซี่โครงหัก 2 ข้าง ปอดฉีก ปอดรั่ว ไหปลาร้าหัก กระดูกสันหลังหัก
…
ต่อมาพนักงานอัยการ ได้ยื่นฟ้อง ครูฝึกและผู้ช่วยครูฝึกรวมทั้งหมด 13 คน เป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย และ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและป้องกันการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 5
ซึ่งในวันนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ได้อ่านคำพิพากษา โดยสรุป เนื้อความ ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นครูฝึกทหารใหม่ ของค่ายนวมินทร์ โดยมีจำเลยที่ 3 ถึง 13 เป็นทหารเกณฑ์และได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นผู้ช่วยครูฝึกทหารเกณฑ์ ร่วมกันทำร้าย ผู้ตาย หลายครั้ง หลายเวลา ต่างกรรมต่างวาระ อย่างทารุณโหดร้าย จน ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อ เนื่องจากพยานส่วนใหญ่เป็นทหารใหม่และเป็นทหารเกณฑ์ในค่ายนวมินทร์ที่จำเลยทั้ง 13 สังกัดอยู่ และเห็นเหตุการณ์ซึ่งถือว่าเป็นประจักษ์พยานโดยตลอด หากไม่เป็นความจริง พยานซึ่งเป็นทหารเกณฑ์และเป็นทหารใหม่ก็คงไม่กล้าใส่ความหรือใส่ร้ายป้ายสีทั้งไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้ง 13 แต่อย่างใด
นอกจากนั้น คำให้การของจำเลย ทั้ง 13 ก็ยังมีพิรุธสงสัย และมีการต่อสู้โดยปฏิเสธลอยๆ ทั้งๆ ที่ ในชั้นพนักงานสอบสวนเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาว่าจำเลยทั้ง 13 เรื่องการทำร้ายร่างกายพลทหาร ให้ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยทั้ง 13 ให้การรับสารภาพ โดยไม่ให้รายละเอียดใดๆ
แต่ต่อมาภายหลังจากที่พลทหารเสียชีวิต เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม เป็นข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย จำเลยทั้ง 13 ก็ให้การปฏิเสธลอยๆ โดยไม่ให้รายละเอียด ซึ่งในทางพิจารณาคดี พยานหลักฐานของโจทก์และของจำเลยก็รับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 13 ได้มีส่วนร่วมกันกระทำความผิดจริงตามฟ้อง เพียงแต่ต่างคนต่างทำ แต่ระยะเวลาและสถานที่ชัดเจนที่สุดว่าพลทหารเสียชีวิตในเวลาต่อมาเกิดจากการกระทำรุนแรงของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นครูฝึกได้ใช้ไม้ ทำร้ายโดยการทุบตี พลทหารจนถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
ศาลจึงมีคำพิพากษา ว่าการกระทำความผิดของจำเลยทั้ง 13 มีความผิดตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 5 และมาตรา 35 วรรค 3
พิพากษา จำคุก จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี, จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 15 ปี, จำคุกจำเลยที่ 3 ถึง 13 คนละ 10 ปี
ในส่วนของพ่อแม่พลทหารที่เสียชีวิตยังติดใจคำพิพากษาเห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษน้อยเกินกว่าที่กระทำ ควรได้รับโทษมากกว่านี้ และจะได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป
ในส่วนคดีแพ่ง หลังคัดคำพิพากษาได้แล้วผมจะยื่นฟ้องกองทัพบกเป็นจำเลยเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนให้กับพ่อแม่ของน้องตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ ทนายเกิดผล ยังโพสต์ด้วยว่า “วันนี้ระหว่างฟังคำพิพากษา ก็แอบชำเลืองตามองดู ทหารเกณฑ์ ที่เป็นผู้ช่วย ครูฝึก จากชีวิต ลูกชาวบ้านแท้ๆ ต้องมาติดคุกเพราะ คึกคะนองแท้ๆ
เสียอนาคตเสียเวลาไป 10 ปี กับสิ่งที่ไม่ควรต้องทำ แต่ก็เป็นบทเรียนที่ดีอย่างหนึ่งนะครับสำหรับทหารใหม่ที่ชอบใช้กำลังทำร้ายทหารรุ่นน้อง โดยคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งความจริงมันเป็นประเพณีที่ห่วยแตกมาก มันไม่ควรจะต้องทารุณกรรมใครแล้ว”
อ้างอิงจาก เฟซบุ๊ก นิชนันท์ วังคะฮาต, ทนายเกิดผล แก้วเกิด