“ผู้นำฝ่ายค้าน” จ่อยื่นหนังสือโต้แย้ง ประธานสภาฯ ชี้ไม่มีรัฐธรรมนูญข้อไหนให้อำนาจไม่บรรจุญัตติ ดักทาง อย่าตั้งองครักษ์พิทักษ์ “นายใหญ่” คนเดียว ด้าน “ไอติม” สวน ไม่จำเป็นต้องเอาชื่อ “ทักษิณ” ออก ประกาศเองต้องการ “สทร.”

วันที่ 7 มี.ค. 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือด่วน ขอให้แก้ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยให้ตัดชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออก ว่าตนเตรียมทำหนังสือโต้แย้งถึงประธานสภาฯ เพราะการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิทธิของสมาชิกที่เข้าชื่อครบตามรัฐธรรมนูญ ถ้าดูตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้เขียนไว้ว่าให้ประธานมีอำนาจในการใช้ดุลยพินิจไม่บรรจุญัตติได้ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้พวกเราเองก็คิดว่าดำเนินการทุกอย่างตามกรอบรัฐธรรมนูญหมดแล้ว จึงอยากให้ประธานสภาบรรจุญัตติ จะได้เริ่มเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อถามว่า จะไม่กระทบกับไทม์ไลน์ใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ต้องพยายามหารือกัน ตนเชื่อว่าประธานสภาฯ และรัฐบาลเอง ไม่อยากทำให้เกิดเหตุการณ์อภิปรายฯ ไม่ทันสมัยประชุมนี้ จะเป็นการดึงเรื่องหรือถ่วงเวลาหรือไม่ ตนไม่อยากให้เกิดภาพนั้น

เมื่อถามว่า ถ้าบรรจุได้ จะมีองครักษ์ของพรรคเพื่อไทยโต้แย้ง จะไม่ราบรื่นหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมามีการกล่าวถึงบุคคลภายนอกอยู่แล้ว ข้อบังคับก็เขียนไว้ชัดเจนว่า การที่มีการพูดพาดพิงถึงคนนอก ที่ไม่สามารถชี้แจงในสภาได้ และทำให้เกิดความเสียหาย สมาชิกผู้ที่อภิปรายต้องเป็นคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ฉะนั้น เรื่องนี้ตนเชื่อว่าคนไทยทุกคนเห็นข้อเท็จจริงว่า การบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน นายทักษิณก็มีความเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย ญัตติที่ยื่นไปสะท้อนตามข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ ไม่น่ามีเหตุผลอะไรที่ประธานสภาฯ หรือรัฐบาลเองจะมาเซ็นเซอร์ฝ่ายค้านในเรื่องนี้ ประชาชนอยากเห็นการอภิปรายที่ตรงไปตรงมา อย่ากังวลว่าพูดพาดพิงชื่อใครแล้วจะโดนประท้วงหรือไม่ ก็ให้มันอยู่ในญัตติ ไม่ต้องไปพูดชื่ออ้อมค้อม

“เราก็คงยังไม่อยากเห็นเรื่องของการตั้งองครักษ์ พิทักษ์นายทักษิณคนเดียวเท่านั้น ตนเชื่อว่าการซักฟอกรัฐบาลก็จะเป็นประโยชน์กับประชาชนทุกคน ฝ่ายค้านจะอภิปรายบนพื้นฐานข้อเท็จจริงและรับผิดชอบตัวเองว่ากระทบกับคนอยู่ภายนอกสภาหรือไม่” ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าว

“พริษฐ์” ชี้ “วันนอร์” สั่งนำชื่อ “ทักษิณ” ออก ไม่ถูกต้องทั้งอำนาจหน้าที่และขั้นตอน

ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนไม่เห็นถึงเหตุผลว่าทำไมพรรคประชาชนจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการดังกล่าว ใน 3 ประเด็น คือ

1. ในเชิงอำนาจหน้าที่ ตนเห็นว่าข้อบังคับไม่ได้ให้อำนาจประธานสภาฯ ในการใช้ดุลพินิจมาตัดสินว่าเนื้อหาสาระของญัตติควรจะเป็นเช่นไร หรือมีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ระบุชัดเจนถึงสิทธิของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ โดยไม่มีส่วนไหนที่พูดถึงดุลพินิจของประธานสภาฯ ในการประเมินเนื้อหาของญัตติเพื่อตัดสินใจว่าจะบรรจุญัตติหรือไม่

นอกจากนี้ ข้อบังคับการประชุมสภาฯ ข้อ 176 ก็ระบุเพียงแค่ให้ประธานสภาฯ ตรวจสอบว่าญัตติมี “ข้อบกพร่อง” หรือไม่ เมื่อพิจารณาจากข้อกฎหมายดังกล่าว “ข้อบกพร่อง” ในที่นี้ ย่อมถูกเข้าใจได้ว่าหมายถึงในกรณีที่มีข้อผิดพลาดในเชิงรูปแบบ เช่น มีรายชื่อผู้เสนอที่ไม่ครบตามเกณฑ์ที่ต้องการ ลายเซ็นของผู้เสนอไม่ตรงกับลายเซ็นในระบบ หรือมีการอ้างถึงมาตราหรือข้อกฎหมายที่คลาดเคลื่อน

2. ในเชิงขั้นตอน แม้จะอ้างข้อบังคับข้อ 176 ในการแจ้งให้พรรคแก้ไขข้อความในญัตติ แต่การแจ้งของประธานสภาฯ นั้นไม่ชอบด้วยข้อบังคับ เพราะไม่เป็นไปตามกรอบเวลาที่ระบุไว้ในข้อบังคับข้อ 176 ซึ่งระบุว่า “หาก[ญัตติ]มีข้อบกพร่อง ให้ประธานสภาแจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ”

แต่สำหรับกรณี ทางประธานสภาฯ ได้รับญัตติวันที่ 27 กุมภาพันธ์ (ตามที่สำนักงานฯ ลงวันรับ และตามหลักฐานการยื่นหนังสือที่ถูกรายงานตามสื่อต่อสาธารณะ) ในขณะที่ได้มีการแจ้งมาที่ผู้เสนอในวันที่ 7 มีนาคม ซึ่งเกินกรอบ “ภายในเจ็ดวัน” อย่างชัดเจน

3. ในเชิงเนื้อหาสาระ ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาสาระของญัตติ แต่ปัจจุบันไม่มีข้อกฎหมายหรือข้อบังคับข้อไหนที่ระบุห้ามไม่ให้พูดถึงชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาของญัตติ และญัตติในอดีตก็มีหลายครั้งที่มีการกล่าวถึงบุคคลภายนอก เช่น เนื้อหาของญัตติที่เสนอโดย สส.พรรคเพื่อไทยในปี 2562 เกี่ยวกับการติดตามการทำงานของหน่วยงานภาครัฐต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็มีการกล่าวถึงบุคคลภายนอกอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ข้อบังคับมีการพูดถึงบุคคลภายนอกในข้อ 69 ในบริบทของการอภิปราย ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการห้ามการอภิปรายบุคคลภายนอกโดยสิ้นเชิง แต่เป็นเพียงการห้ามไม่ให้กล่าวถึงบุคคลใด “โดยไม่จำเป็น” ท้ายสุดแล้วหากเนื้อหาของญัตติและการอภิปรายมีการกล่าวถึงบุคคลภายนอกจนเกิดความเสียหาย ผู้เสนอญัตติและผู้อภิปรายจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวเอง

ดังนั้นในมุมกฎหมาย ตนไม่เห็นถึงเหตุผลว่าทำไมพรรคประชาชนจำเป็นต้องนำชื่อ “บุคคลภายนอก” ออกจากเนื้อหาญัตติ และในมุมการเมือง ตนเห็นว่าเป็นดุลพินิจของพี่น้องประชาชนที่จะเป็นผู้ตัดสินได้เอง ว่าการระบุถึง “บุคคลภายนอก” มีความเหมาะสมและจำเป็นต่อการวิเคราะห์และวิจารณ์การบริหารราชการแผ่นดินของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตรหรือไม่ ยิ่งในเมื่อบุคคลดังกล่าวก็ประกาศเองว่าต้องการ “สทร.” เกี่ยวกับการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้