สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจ ผู้ตอบส่วนใหญ่มอง “เกมการเมือง” เป็นเรื่องปกติ พรรคการเมืองและนักการเมือง มุ่งหวังอำนาจ-ผลประโยชน์ ชี้ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ทำการเมืองไทยล้าหลัง
วันที่ 9 มีนาคม 2568 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็น เรื่อง “เกมการเมืองไทย ณ วันนี้” สำรวจประชาชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,227 คน จากทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 4-7 มีนาคม 2568 สรุปผลได้ดังนี้
ในคำถาม ประชาชนคิดว่าอะไรบ้างที่เป็นลักษณะของ “เกมการเมือง” (ตอบได้มากกว่า 1 เรื่อง)
- ร้อยละ 62.75 ระบุว่า การแบ่งเค้ก แบ่งตำแหน่งสำคัญทางการเมือง
- ร้อยละ 58.60 ระบุว่า เอื้อประโยชน์ให้นายทุนที่สนับสนุนพรรคการเมือง
- ร้อยละ 55.18 ระบุว่า โยกย้ายข้าราชการเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
ประชาชนคิดว่าปัจจุบันในรัฐบาลแพทองธาร กรณีใดบ้างที่เป็นการเล่น “เกมการเมือง” (ตอบได้มากกว่า 1 เรื่อง)
- ร้อยละ 60.46 มองว่า การโจมตีกันไปมา ปล่อยข่าวปลอม ดิสเครดิต
- ร้อยละ 56.78 มองว่า นักการเมืองซื้อขายเสียงกันทั้งในสภาและนอกสภา
- ร้อยละ 54.17 มองว่า การตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ต่อรอง แลกเปลี่ยนผลประโยชน์
ประชาชนคิดว่า “เกมการเมือง” เป็นเรื่องปกติของการเมืองไทยหรือไม่
- ร้อยละ 80.77 ระบุว่า เป็นเรื่องปกติ เพราะมีมานาน เห็นมาทุกยุคสมัย พรรคการเมืองและนักการเมืองมุ่งหวังแต่อำนาจและผลประโยชน์ เปลี่ยนแปลงได้ยาก ฯลฯ
- ร้อยละ 19.23 เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะทำให้ประชาชนและประเทศชาติต้องเสียผลประโยชน์ นักการเมืองขาดคุณธรรมจริยธรรม ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น ฯลฯ
…
ประชาชนคิดว่า “เกมการเมือง” มีผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างไร
- ร้อยละ 42.95 เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
- ร้อยละ 38.06 มีทั้งผลดีและผลเสีย ขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาล
- ร้อยละ 7.17 มีผลกระทบบ้าง บางเรื่องก็ช่วยตรวจสอบและผลักดันนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล
- ร้อยละ 6.44 ไม่มีผลกระทบ มีปัจจัยอื่น ๆ ส่งผลมากกว่า
- ร้อยละ 5.38 ไม่แน่ใจ/ไม่มีความเห็น
ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดที่ว่า “เกมการเมือง” ทำให้การเมืองไทยล้าหลังประเทศอื่นๆ
- ร้อยละ 79.63 เห็นด้วย
- ร้อยละ 12.06 ไม่เห็นด้วย
- ร้อยละ 8.31 ไม่แน่ใจ

น.ส.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยคุ้นชินกับเกมการเมืองที่มีมานาน และรับรู้ถึงโครงสร้างการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์และการแข่งขันเชิงอำนาจ แม้หวังพึ่งการเลือกตั้งให้การเมืองเปลี่ยน แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญกับเกมการเมืองเดิมในรูปแบบใหม่ หมุนวนซ้ำซากทำให้สังคมติดหล่ม กลายเป็นพลวัตทางสังคมแบบปกติใหม่ที่ไม่ควรจะปกติ การจะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้นก็คงจะต้องลดเกมการเมืองเพิ่มการทำงาน เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน
ขณะที่ นายเขมภัทท์ เย็นเปี่ยม อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า ประชาชนมองว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่นักการเมืองเมื่อเข้ามาสู่อำนาจแล้วจะเข้ามาจัดสรรผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง มากกว่าการจัดสรรผลประโยชน์และกระจายผลประโยชน์ให้แก่ประชาชน โดยแท้จริงแล้วประชาชนอยากเห็นเกมการเมืองที่แต่ละพรรคแข่งขันกันในเชิงนโยบายและการแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากกว่าเกมการเมืองที่เข้ามาช่วงชิงอำนาจ
อีกทั้งพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดขั้วอำนาจทางการเมืองฝั่งตรงข้าม และพร้อมที่จะหักหลังจัดการฝ่ายเดียวกันเองเพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมืองของตัวเองไว้ การที่นักการเมืองมุ่งแต่จะแก้เกมทางการเมืองเพื่อต้องการกุมความได้เปรียบทางการเมืองจึงส่งผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองที่ประชาชนรู้สึกว่าล้าหลังและไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น สิ่งที่ประชาชนคาดหวังและอยากเห็นคือเกมการเมืองที่แข่งกันแก้ปัญหาด้วยนโยบายมากกว่าการแก้เกมทางการเมือง