รัฐสภาลงมติ 303 ต่อ 151 เสียง เห็นชอบส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทำประชามติก่อนแก้ รธน. “เท้ง” อัดอย่ายกข้อกฎหมายบังหน้า “สุทิน” เตือนสติ ใช้ความกล้าหาญอย่างเดียวไม่พอ ต้องไม่โง่ด้วย
วันที่ 17 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.05 น. การประชุมร่วมกันของรัฐสภาวันนี้ เข้าสู่ญัตติ เรื่อง ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ที่เสนอโดย นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นผู้เสนอ ซึ่งค้างมาจากการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เมื่อวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 และเพิ่มฉบับที่เสนอโดย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
ทั้งนี้ ภายหลังเปิดให้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง ซึ่งมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในการส่งศาลรัฐธรรมนูญ โดย สส.พรรคประชาชน และ สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ ต่างอภิปรายคัดค้านการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะมองว่าไม่มีกฎหมายบังคับไว้ และรัฐบาลมีเจตนาเตะถ่วงการแก้รัฐธรรมนูญ ขณะที่ สส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความการทำประชามติ เพื่อให้การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่มีความถูกต้อง
ทางด้าน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่า เหตุผลที่ถกเถียงกันขณะนี้หากเป็นเหตุผลการเมือง โดยใช้ข้ออ้างเรื่องกฎหมายจะไม่มีข้อยุติ นี่คือเหตุขัดข้องให้การแก้รัฐธรรมนูญเดินหน้าต่อไม่ได้ เป็นเหตุผลการเมืองที่เอาข้อกฎหมายมาบังหน้า เอาต้นทุนตัวเองเป็นตัวตั้งมากกว่าต้นทุนประเทศ เหตุผลของทั้ง 2 ญัตติที่เสนอมา เชื่อว่าหากส่งไปศาลรัฐธรรมนูญคงไม่รับวินิจฉัย เพราะไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้งข้อกฎหมาย ปัญหาข้อกฎหมายจะเกิดขึ้นกรณีเดียวคือ รัฐสภามีการลงมติแล้ว จึงจะเกิดปัญหา หากต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจะทำให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ไม่ทันในสมัยประชุมนี้ ไม่ได้รัฐธรรมนูญใหม่ทันเลือกตั้งสมัยหน้า ต้นทุนประเทศต้องเสียไป หากวันนี้ไม่เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ทันที
…
ส่วน นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ มีจุดยืนที่ชัดเจนคือจะต้องไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ และต้องไม่มีการแก้ไขในบทบัญญัติเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน สำหรับความเห็นส่วนตัวเชื่อว่าไม่ต้องมีการส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าก่อนจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มหมวด 15/1 ต้องมีการทำประชามติก่อน 1 ครั้ง เมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 แล้วเสร็จจะต้องมีการทำประชามติอีก 1 ครั้ง ก่อนที่เมื่อรัฐธรรมนูญที่ยกร่างโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แล้วเสร็จจะต้องมีการทำประชามติเพื่อสอบถามประชาชนว่าเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ จึงต้องมีการทำประชามติทั้งสิ้น 3 ครั้ง ตามรัฐธรรมนูญและศาลรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ ดังนั้น การให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเพื่อให้สิ้นกระแสความ เพื่อให้สิ้นข้อสงสัย จึงเป็นอันดีและไม่เกิดความเสียหายใดๆ ต่อประเทศชาติแต่อย่างใด
ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายสรุปและโต้แย้งฝ่ายเห็นต่าง ว่า เราไม่ได้กลัว ไม่ได้เตะถ่วง เสียเวลา 1 เดือนไม่ถึงขั้นเตะถ่วง เราใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมากพอ แล้วผลเป็นอย่างไร ความกล้าหาญควรเสมอด้วยปัญญา ปัญญาควรเสมอด้วยสติ ถ้าใช้ความกล้าหาญอย่างเดียว ไม่ใช้สติ รบ 100 ครั้งก็แพ้ กล้าหาญแล้วโง่ส่งไปแพ้หมด กล้าหาญแล้วต้องฉลาด อดทนให้ได้ ให้คิดดีๆ ว่าการแก้รัฐธรรมนูญเราสู้กับใคร ถ้าเลือกมิตรถูกจะมีเพื่อนร่วมทาง เราต้องสู้อีกมากมายเพื่อให้ได้ประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่รถด่วน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยใช้ความกล้าหาญอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีกลยุทธ์ ลมเปลี่ยนทิศต้องเบนหัวเรือ หลบลมไปสู่เป้าหมาย ให้แก้ได้ ไม่ใช่เพียงได้แก้
ต่อมาเวลา 17.30 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เรียกตรวจสอบองค์ประชุม ก่อนสอบถามมติจากที่ประชุมรัฐสภาว่าจะมีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ผลการลงมติปรากฏดังนี้
- เห็นด้วย 303 (ลงมติด้วยเสียง 2)
- ไม่เห็นด้วย 151 (ลงมติด้วยเสียง 1)
- งดออกเสียง 120
- ไม่ลงคะแนน 1
ประธานรัฐสภา สรุปว่าที่ประชุมเห็นว่าควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ก่อนสั่งปิดประชุมในเวลา 17.36 น.
