ตำรวจภาค 8 ก้นร้อน บิ๊กพงษ์ พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังปรากฏข่าวทางสื่อ ขบวนการค้ามนุษย์ ทำผิดกฎหมาย มีผู้นำท้องถิ่น กองกำลังติดอาวุธ แคมป์โรฮีนจา แนวชายแดนไทย-เมียนมา พื้นที่ชุมพร-ระนอง แฉมีกลุ่มบุคคล และข้าราชการไม่น้อยกว่า 10 ราย ผลสอบสวนเกี่ยวพันทางเส้นทางการเงิน มีทั้งปกครอง-ทหาร-ตำรวจ

จากกรณีคณะทำงานแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้านจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนอง โดยสำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ภาค 4 บูรณาการกำลังเข้าตรวจสอบในทางลับ หลังพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐและกลุ่มบุคคล ร่วมกันเป็นขบวนการใหญ่ กระทำผิดกฎหมายลักลอบเข้าออกนอกราชอาณาจักร ตามแนวชายแดนไทยและเมียนมา ด้านตำบลรับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร และชายแดนด้าน อ.กระบุรี จ.ระนอง

โดยกลุ่มอิทธิพลดังกล่าวได้ร่วมกันนำเครื่องจักร รถแบ็คโฮ เข้าไปบุกรุกปรับไถยึดครองที่ดินจับจองหลอกขายแก่คนไทยด้วยกันในราคาไร่ละ 50,000 – 100,000 บาท จำนวนนับพันไร่ จัดตั้งกองกำลังคนไทย ตั้งหมู่บ้านคนไทยนอกราชอาณาจักร ร่วมกับกองกำลังชนกลุ่มน้อย กระทำผิดกฎหมาย ลักลอบนำพืชผลทางการเกษตร ปศุสัตว์ เข้ามาขายในประเทศไทย ลักลอบค้าแรงงานเถื่อน ยาเสพติด ค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา จากแคมป์พักฝั่งเมียนมาผ่านเข้ามาในประเทศไทย ส่งต่อไปยังประเทศที่สามทางชายแดนภาคใต้ ตามข่าวที่เสนอมาต่อเนื่องนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ที่ตำรวจภูธรภาค 8 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้มีคำสั่งที่ 353/2568 ลง 29 เม.ย.68 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีปรากฏข่าวทางสื่อออนไลน์ กรณีมีผู้นำท้องที่ ซ่องสุมสมุนกองกำลังติดอาวุธ อุ้มฆ่าสายข่าวค่ายโรฮีนจา มีแคมป์โรฮีนจา ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ตั้งแต่จังหวัดชุมพร ถึงจังหวัดระนอง เพื่อส่งไปยังสามจังหวัดชายแดนใต้ ในลักษณะเป็นการค้ามนุษย์

โดยคำสั่งแต่งตั้ง มี พ.ต.อ.อดิพัฒน์ กรึงไกร รอง ผบก.สส.ภ.8 เป็นประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และมี พ.ต.อ.จักรวรรดิ์ บุญทวีกุลสวัสดิ์ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ภ.8 เป็นกรรมการ พ.ต.อ.นิรัน กันจู รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร เป็นกรรมการ พ.ต.อ.ยุทธนาศิริสมบัติ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระนอง เป็นกรรมการ และว่าที่ พ.ต.อ.นฤบดินทร์ ปังหลีเส็น ผู้กำกับการสืบสวน 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 8 เป็นกรรมการและเลขานุการ

ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน 7 วัน แล้วเสนอผลการตรวจสอบดังกล่าว มาเพื่อพิจารณาสั่งการ ซึ่งความคืบหน้าทีมข่าวจะนำเสนอต่อไป

ผู้ตรวจการฯ ร่วม กอ.รมน.ภาค 4 โร่แจ้ง ปปป.-ปปง. เอาผิด แก๊งอิทธิพล-เจ้าหน้าที่รัฐ

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ร.ต.ต.พงศกร มีพันธุ์ ผอ.ส่วนสอบสวน 4 สำนักสอบสวน 4 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับเรื่องร้องเรียนจากราษฎรในพื้นที่ จ.ชุมพร ว่าได้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันลักลอบเข้าไปบุกรุกแผ้วถางทรัพยากรธรรมชาติ ปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพารา ในเขตแนวชายแดนไทยและเมียนมา ด้านตำบลรับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร แล้วนำผลอาสินสวมสิทธิเข้ามาขายในประเทศไทย รวมถึงมีการลักลอบค้าแรงงานเถื่อน จึงได้ประสานกับกองทัพภาค 4 เข้าดำเนินการตรวจสอบ และสืบสวน เนื่องจากเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในของราชอาณาจักร

ทั้งนี้ คณะทำงานแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร บริเวณพื้นที่ชายแดนจังหวัดชุมพรและระนอง โดยสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ภาค 4 บูรณาการกำลังเข้าตรวจสอบตั้งแต่ 4 มีนาคม 2568 โดยได้มีการสอบสวนบันทึกถ้อยคำพยานบุคคล และแสวงหาข้อมูล พบว่ามีบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชน มากกว่า 10 ราย ร่วมกันเป็นขบวนการ ดำเนินการบุกรุกพื้นที่ ปลูกผลอาสิน รวมถึงขนย้ายแรงงานชาวโรฮีนจา เข้ามายังประเทศไทยนั้น

ล่าสุดได้มีการสรุปสำนวนการบันทึกปากคำ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง ต่อ ป.ป.ช.-ปปป. ส่วนกลางเรียบร้อยแล้ว

ร.ต.ต.พงศกร กล่าวต่อว่า ผลการตรวจสอบ พบว่าพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร มีการใช้รถแบ็คโฮลักลอบปรับไถเปิดจุดชายแดนเข้าออกนอกราชอาณาจักรมากกว่า 10 จุด และใช้เป็นเส้นทางเข้าออกประจำ 5 จุด เข้าออกกันอย่างเสรี ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ใช้เป็นเส้นทางขนสินค้าเกษตรเถื่อน อาทิ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร ลักลอบขนไม้เถื่อน แร่เถื่อน แรงงานเถื่อน ค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา ซึ่งตั้งแคมป์อยู่ห่างชายแดนประมาณ 5 กม. มีชาวโรฮีนจาประมาณ 400-500 คน ในเขตคุ้มครองของทหารกะเหรี่ยง KTLA จัดสรรหลอกขายให้กับคนไทยมากกว่า 1 พันไร่ ราคาไร่ละ 50,000-100,000 บาท

ส่วนในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน อ.กระบุรี จ.ระนอง มีการตั้งชื่อหมู่บ้านนอกราชอาณาจักรว่า “หมู่บ้านอินทนินงาม” มีกลุ่มคนไทยหลายกลุ่ม เข้าไปสร้างที่อยู่อาศัย มีร้านค้า ร้านอาหาร ทำการเกษตรยางพารา ปาล์มน้ำมัน และอื่นๆ นำผลผลิตออกมาขายฝั่งไทย โดยมี “นายสมาน” สัญชาติไทย มีภูมิลำเนาอยู่ทางภาคเหนือ อ้างตัวเป็นนายพลกะเหรี่ยง และอ้างว่าสนิทกับทหารไทย คอยติดต่อประสานงานกับทางการไทย

เหิมหนักเจาะฐานระบบข้อมูลบุคคล อุ้มฆ่าสายข่าว

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในการร้องทุกข์กล่าวโทษของผู้ตรวจการแผ่นดิน ต่อกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กองบัญชาการสอบสวนกลาง ได้ส่งมอบหลักฐานการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ 2 ราย ที่ใช้อำนาจหน้าที่เข้าสู่ระบบข้อมูลบุคคล จนนำไปสู่การติดตามอุ้มสายข่าวของทางราชการไปฆ่าฝังศพในพื้นที่หมู่บ้านอินทนินงาม นอกราชอาณาจักรฝั่งประเทศเมียนมา

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรณีดังกล่าว ได้นำสรุปสำนวนการสืบสวนและการบันทึกปากคำ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับ ป.ป.ช.กลาง ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคล และข้าราชการไม่น้อยกว่า 10 ราย ที่ผลการสอบสวนเกี่ยวพันทางเส้นทางการเงิน โดยทั้งหมด เป็นเจ้าหน้าที่ของปกครอง ทหาร และตำรวจ ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ชายแดนฝั่งอันดามัน.